18 สิงหาคมของทุกปี วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของไทย ถูกกำหนดให้ตรงกับวันที่ 18 สิงหาคมของทุกปี โดยเป็นวันที่้มีความสำคัญต่อวงการวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 14 เมษายน ปี 2525 ให้เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 เป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ประวัติความเป็นมาวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ที่มาของการกำหนดวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ เกิดขึ้นเนื่องจากในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ (รัชกาลที่ 5) ขณะพระชนมายุ 16 พรรษา ได้เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ ตำบลบ้านหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ด้วยทรงตั้งพระปณิธานแน่วแน่ที่จะพิสูจน์ผลการคำนวณของพระองค์ หลังจากที่ทรงใช้กล้องโทรทรรศน์คำนวณการเกิดสุริยุปราคาครั้งแรกได้อย่างแม่นยำ ล่วงหน้า 2 ปี
ซึ่งพระองค์คำนวนไว้ว่า สุริยุปราคาจะเกิดขึ้นในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช 1230 โดยจะเห็นหมดดวงและชัดเจนที่สุด ที่หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่บริเวณ เกาะจาน ขึ้นไปถึงปราณบุรี และลงไปถึงเมืองชุมพร และโปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุญนาค) ไปสร้างค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับ พร้อมกับเชิญคณะนักดาราศาสตร์จากประเทศฝรั่งเศส และเซอร์แฮรี ออด เจ้าเมืองสิงคโปร์เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ และร่วมในการสังเกตการณ์ ซึ่งเมื่อถึงวันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 เหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ทรงพยากรณ์ไว้ทุกประการ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว
องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้วยพระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณนานัปการ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์ ทางคณะรัฐมนตรีจึงกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปี เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ"
ทั้งนี้ ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2511 หลายหน่วยงาน เช่น สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ กรมอุทกศาสตร์ กรมชลประทาน กรมแผนที่ทหาร กรมอุตุนิยมวิทยา กรมไปรษณีย์โทรเลข ฯลฯ ยังได้ร่วมกันจัดงานเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2527 งานวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้รับการขยายให้เป็นงานใหญ่ขึ้น เป็นงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ โดยจะมีการจัดงานในระหว่างวันที่ 18 - 24 สิงหาคม
พระราชกรณียกิจทางด้านดาราศาสตร์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอดูดาวบนเขาวัง ใน จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2403 พระราชทานนามว่า "หอชัชวาลเวียงชัย" ซึ่งตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ได้เคยทอดพระเนตรดาวหาง 3 ดวง คือ
1. ดาวหางฟลูเกอร์กูส (Flaugergues s Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่และมีหาง 2 หาง ปรากฏในรัชสมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อ พ.ศ. 2355 ขณะนั้นเจ้าฟ้ามงกุฎมีพระชันษาราว 8 ปี เมื่อทอดพระเนตรแล้ว คงจะทรงติดตามศึกษาเรื่องดาวหางอยู่เสมอ เพราะว่าก่อนดวงที่ 2 จะมาปรากฏ พระองค์ทรงสามารถนิพนธ์ประกาศฉบับแรกชื่อว่า "ประกาศดาวหางขึ้นอย่าได้วิตก" แจ้งแก่ประชาชน
2. ดาวหางโดนาติ (Donati a Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่มาก นักดาราศาสตร์อิตาเลียนค้นพบในคืนวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2401 และคืนต่อ ๆ มา จนถึงวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2402 (รวมเวลา 9 เดือน) ชาวไทยคงจะเห็นด้วยตาเปล่า ระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม พ.ศ. 2401
3. ดาวหางเทพบุท (Tebbut s Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่ หางยาว และสว่างกว่าดาวหางโดนาติ ปรากฏแก่สายตาชาวโลกระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม พ.ศ. 2404 เป็นดาวที่พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยมากยิ่งขึ้น ถึงกับทรงได้คำนวณไว้ล่วงหน้าว่าจะปรากฏเมื่อใด และได้ทรงออกประกาศไว้ล่วงหน้ามิให้ประชาชนตื่นตระหนก ทั้งนี้ เพราะพระองค์มีพระราชประสงค์มุ่งขจัดความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องโชคลาง และทรงให้ราษฎรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เตรียมพร้อมที่จะเผชิญเหตุการณ์ (ถ้าจะเกิด) อย่างมีเหตุผลตามแบบวิทยาศาสตร์
การทดลองวิทยาศาสตร์ตั้งแต่สมัยโบราณ “ปรากฎการณ์น้ำเดือดกลายเป็นน้ำแข็ง”
กระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ และ ยังคงถูกพูดถึงอยู่เสมอๆ แม้จะผ่านมายาวนานกว่า 350 ปี คือ กรณีที่นักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายคนนำเอาน้ำร้อนที่ถึงจุดเดือด 100 องศาเซลเซียส เทลงบนอุณหภูมิ ณ จุดเยือกแข็ง หรือ ติดลบในหิมะอันหนาวเหน็บ ทำให้น้ำร้อนแข็งตัวได้เร็วกว่าน้ำที่อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส ซึ่งรู้จักกันในชื่อเรียกว่า ปรากฏการณ์เพมบา (Mpemba effect) กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีผู้คนจำนวนมากทดลองทำปรากฎการณ์นี้โดยสาดน้ำเดือดๆ ไปในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยหิมะ แล้วพบว่าน้ำแข็งตัวอย่างรวดเร็ว
คำอธิบายว่า “ทำไมน้ำร้อนบางครั้งจึงแข็งตัวเร็วกกว่าน้ำเย็น” ที่จริงไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนนัก แต่สามารถอธิบายได้ว่ากลไกใด และ เงื่อนไขใดบ้างที่ทำให้เกิดปรากฏการ “เพมบา” ขึ้น
ข้อแรก คือ การระเหย น้ำร้อนจะระเหยได้เร็วกว่าน้ำเย็น ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ให้เป็นน้ำแข็ง
ข้อที่สอง คือ Supercooling น้ำร้อนมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจาก Supercooling น้อยกว่าน้ำเย็น เมื่อไรที่ Supercooled สามารถคงสภาพเป็นของเหลวได้จนกว่าจะถูกรบกวน แม้จะต่ำกว่าอุณหภูมิเยือกแข็งปกติก็ตาม
ข้อที่สาม คือ การพาความร้อน น้ำจะพัฒนากระแสการพาความร้อนเมื่อมันเย็นตัวลง ความหนาแน่นของน้ำมักจะลดลงเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น น้ำส่วนที่ร้อนกว่าจะสูญเสียความร้อนและแข็งตัวเร็วกว่า
ข้อที่สี่ คือ ก๊าซที่ละลายน้ำ คือ น้ำร้อนมีความสามารถในการกักเก็บก๊าซที่ละลายได้น้อยกว่าน้ำเย็น จึงอาจส่งผลต่ออัตราการแข็ง
ข้อสุดท้าย คือ ผลกระทบของสภาพแวดล้อม ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิเริ่มต้นของภาชนะบรรจุน้ำสองใบอาจมีผลต่ออัตราการทำความเย็น
จะเห็นได้ว่า โลกของเรามีการทดลองทางวิทยาศาสตร์อยู่เสมอๆ และ ก็มีมักจะมีนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบปรากฎการณ์ใหม่ๆ ขึ้นด้วย
ทำความรู้จัก สุริยุปราคา
สุริยุปราคา หรือ สุริยคราส เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรมาเรียงอยู่ในแนวเดียวกันโดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง ในแต่ละปีสามารถเกิดสุริยุปราคาบนโลกได้อย่างน้อย 2 ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 5 ครั้ง ในจำนวนนี้อาจไม่มีสุริยุปราคาเต็มดวงเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ครั้ง สำหรับสุริยุปราคา แบ่งได้เป็น 4 ชนิด คือ
สุริยุปราคาเต็มดวง (total eclipse) ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์หมดทั้งดวง
สุริยุปราคาบางส่วน (partial eclipse) มีเพียงบางส่วนของดวงอาทิตย์เท่านั้นที่ถูกบัง
สุริยุปราคาวงแหวน (annular eclipse) ดวงอาทิตย์มีลักษณะเป็นวงแหวน เกิดเมื่อดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากโลก ดวงจันทร์จึงปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์
สุริยุปราคาผสม (hybrid eclipse) ความโค้งของโลกทำให้สุริยุปราคาคราวเดียวกันกลายเป็นแบบผสมได้ คือ บางส่วนของแนวคราสเห็นสุริยุปราคาเต็มดวง ที่เหลือเห็นสุริยุปราคาวงแหวน บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากกว่า
อ้างอิง : https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/154305
|